วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลองสำรวจตัวเองกันดูนะครับว่า... คุณมีโอกาสเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างหรือเปล่า?



"ความมั่งคั่ง" เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) อยากมี แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจหลักการสำคัญอันเป็นแก่นที่จะทำให้ตัวเองมั่งคั่งได้อย่างแท้จริง นั่นคือ 

"ความมั่งคั่ง" เป็นเรื่องของการ "สะสม" หรือ "สั่งสม" (ความมั่งคั่ง = การสะสม)

โดยคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า "ความมั่งคั่ง" คือ การหาเงินได้มาก และทำให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่นั่นเป็นเพียงปลายทาง ไม่ใช่จุดเริ่มต้น

ตัวอย่างเช่น ครอบครัว a มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน แต่ครอบครัว a มีค่าใช้จ่าย 45,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b นั่นมีรายจ่ายเพียงแค่ 12,000 บาทต่อเดือน

อย่างนี้ในท้ายที่สุด ครอบครัว a จะคงเหลือความมั่งคั่งอยู่เท่ากับ 5,000 บาท ในขณะที่ครอบครัว b นั้น คงเหลืออยู่ที่ 8,000 บาท อย่างนี้ครอบครัว b ก็มีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งมากกว่า เพราะสะสมเงินได้มากกว่า 

จะเห็นได้ว่า ตัวแปรสำคัญสู่ความมั่งคั่ง ก็คือ เงินคงเหลือ หรือเงินออม ซึ่งผูกโยงโดยตรงกับรายได้ และค่าใช้จ่าย ดังสมการ 

ความมั่งคั่ง (เงินคงเหลือ) = รายได้ - ค่าใช้จ่าย นั่นเอง 

ดังนั้น หากเราต้องการเพิ่มความมั่งคั่ง ก็สามารถทำได้ 2 ทาง นั่นคือ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย ซึ่งในมุมมองของผม การสร้างรายได้นั้นเป็นการดึงดูดเงินคนอื่นมาเป็นของเรา (โดยสุจริต) ซึ่งทำได้ยากกว่า การจัดการค่าใช้จ่าย (ย้ำ! ว่าไม่ใช่การลดค่าใช้จ่าย) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการกับตัวเราเองโดยตรง 

โดยสรุป หากท่านต้องการที่จะมั่งคั่ง ท่านต้องบริหารจัดการรายจ่ายของตัวเองให้มีความเหมาะสม เพื่อที่จะขยับเพิ่ม "เงินออม" หรือความมั่งคั่งของตัว ให้มีการสะสมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 

คำถาม คือ รายจ่ายอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

คำตอบ: ขึ้นกับแต่ละบุคคลจะพิจารณาว่า รายจ่ายใดจำเป็น รายจ่ายใด ไม่จำเป็น และสามารถปรับลดได้ แต่สำหรับผม ผมมองเห็นโอกาสสะสมความมั่งคั่งเพิ่มเติมจาก การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อาทิ ค่าบุหรี่ ค่ากาแฟ ค่าหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารบางฉบับ หรือ อะไรก็ตามที่ท่านมักจับจ่ายโดยความเคยชิน และทำให้ตัวเองรู้สึเอาเองว่า ขาดไม่ได้ นั่นแหละ คือ รายจ่ายที่เข้าข่ายต้องพิจารณา

สมมติ รายจ่ายดังกล่าวเป็นกาแฟสดสักถ้วย ที่ท่านต้องซื้อดื่มเป็นประจำในวันทำงาน สมมติว่ากาแฟถ้วยนั้นมีราคา 25 บาท ถ้าท่านดื่มทุกวันจันทร์-ศุกร์ ค่าใช้จ่ายกาแฟสดในแต่ละสัปดาห์ของท่านก็จะเท่ากับ 125 บาท (25 บาท/วัน x 5 วัน) หรือคิดเป็นปี เท่ากับ 6,250 บาท (คิด 1 ปี เราทำงาน 50 สัปดาห์) หากดื่มกินต่อเนื่อง 30 ปี จะเป็นเงินทั้งสิ้น 187,500 บาท 

จะว่าไปก็ดูไม่เยอะมากเท่าไหร่ ทีนี้เราลองทำในสิ่งตรงกันข้ามบ้างดีกว่า คือ เอาเงิน 125 บาทต่อสัปดาห์ (สมมติว่าเลิกดื่มกาแฟสด ทานกาแฟออฟฟิตเอา ... ฮา) ไปลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี จะเกิดอะไรขึ้น 

>>> 1 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 7,150 บาท 

>>> 5 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 43,651 บาท 

>>> 10 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 113,953 บาท 

>>> 15 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 227,173 บาท 

>>> 30 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 1,176,132 บาท 

จะเห็นว่าจากค่าใช้จ่ายโดยความเคยชิน 187,500 ในระยะเวลา 30 ปี กลับกลายเป็นทรัพย์สินเงินล้านได้อย่างสบายๆ 

อย่างไรก็ดี ตัวอย่าง ข้างต้นมิได้นำเสนอขึ้น เพื่อให้ท่านใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียว แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท่านเห็นโอกาสของตัวเองในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่พยายามทำความเข้าใจกับหลักการสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง นั่นคือ การบริหารการใช้จ่ายและการเก็บออมเท่านั้น 

ถึงตรงนี้ หลายท่านคงพอมีหวังจะเป็นเศรษฐีเงินล้านเหมือนกับคนอื่นกันแล้วใช่มั๊ยครับ คราวหน้าเรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะเริ่มต้นออมกันอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร 

"การใช้จ่ายของคุณในวันนี้ คือ ตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของคุณในอีก 20-30 ปีข้างหน้า"   

ขอขอบคุณความรู้ดีๆจาก http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?f=5&t=4330
อ้างอิงรูปภาพจาก www.dek-d.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น