วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

งานอบรมสัมมนา การปั้นแบรนด์สร้างเงินล้าน ด้วยสื่อออนไลน์ (Branding)


ขอเชิญนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME ร่วมงานอบรมสัมมนาที่จะมาเปิดเผยเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ให้ทำเงิน เพิ่มมูลค่า เพิ่มยอดขายให้กับเจ้าของแบรนด์ ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงจากเจ้าของกิจการ จากธุรกิจขนาดเล็กที่มียอดขายไม่ถึง 1 ล้านบาท/ปี เติบโตจนสามารถมียอดขายมากกว่า 40 ล้านบาท/ปี อะไรคือปัจจัย และตัวช่วยสำคัญในการเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้พบคำตอบได้ในงานสัมมนานี้

ความสำคัญของการสร้างแบรนด์

การสร้างแบรนด์ ถือเป็นความจำเป็นที่ผู้ประกอบการ SMEs ในยุคของโลกแห่งการแข่งขันจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญ

เนื่องจากแบรนด์จัดเป็นอาวุธชิ้นสำคัญที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มและ ยอดขาย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผลกำไรและความมั่นคงทางธุรกิจก็จะตามมา ถึงแม้ว่าเรื่องของการสร้างแบรนด์จะเป็นเรื่องที่นักการตลาดกล่าวถึงและอธิบายกันมาเป็นเวลานาน

แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการ SMEs จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบถึงความสำคัญของการสร้างแบรนด์
แบรนด์" ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่แบรนด์เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกมากมายเขาจึงมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่เชื่อว่าจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่เขาได้ เนื่องมาจาก

1. จากมุมมองของผู้บริโภค "แบรนด์" คือ สัญลักษณ์ของคุณภาพ ลูกค้าเชื่อผู้ผลิตที่กล้าประกาศชื่อสินค้าว่ามีการรับประกันคุณภาพ (Quality Assurance) สม่ำเสมอ เหมือนเดิม หรือ มีคุณภาพดีกว่า (ทั้งที่อาจจะไม่ใช่ดีที่สุดก็ตาม) แบรนด์ จึงช่วยแยกสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่ง (Differentiate Product)

2. ทำให้ลูกค้าลดความเสี่ยงต่อการลองผิดลองถูกในการซื้อสินค้าแต่ละครั้ง (Reduce the Risk of Purchasing)เพราะไม่ทราบว่าเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไรในสินค้าประเภทเดียวกัน กับสินค้าที่ไม่มี "แบรนด์"

3. ช่วยประหยัดเวลาในการเลือกสินค้า (Reduce Consumer Searching Cost) ไม่เสียเวลาในการหาข้อมูล เปรียบเทียบ พิสูจน์ หรือถามหาอีกว่ายี่ห้ออะไรดี

4. ช่วยทำให้เขาสามารถซื้อซ้ำได้อีก ในสินค้าที่เขาถูกใจได้ (Help Buyer Identify Brand They Prefer) รู้ว่าสินค้าอะไร ยี่ห้ออะไรที่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ดี และเวลากลับมาซื้ออีกก็สามารถเลือกซื้อได้ถูกต้อง

ทำไมต้องสร้างแบรนด์

การสร้าง "แบรนด์" ที่ประสบความสำเร็จ นั้นทำให้เกิดรายได้แก่ธุรกิจอย่างมั่นคง
สำหรับองค์กร การสร้าง "แบรนด์" ที่ประสบความสำเร็จ นั้นทำให้เกิดรายได้แก่ธุรกิจอย่างมั่นคง เพราะ

1.ช่วยสร้างให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีกับองค์กร จาการศึกษาพบว่า 45% ของผู้บริโภคที่รู้จัก "แบรนด์" ก็จะเชื่อถือองค์กรไปด้วย

2.จะสามารถลดต้นทุนการส่งเสริมการตลาดได้ โดยการเพิ่มประสิทธิผลของการสื่อสารการตลาด ช่วยจูงใจให้ลูกค้าซื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น เพราะผู้บริโภคมีการรับรู้ และความภักดีใน "แบรนด์" อยู่แล้ว

3.จะสามารถจูงใจให้ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงกว่าราคาสินค้าของคู่แข่ง เพราะมีความเชื่อถือใน "แบรนด์" จากการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคประมาณ 50% ยินดีจ่ายเงินเพิ่มประมาณ 20% – 25% เพื่อซื้อ "แบรนด์" ที่เขาชื่นชอบ

4.จะสามารถจูงใจให้ผู้บริโภคทดลองซื้อสินค้าใหม่ได้ง่าย จึงเป็นโอกาสในการขายสินค้าเพิ่มจาการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคประมาณ 50% ยินดีทดลองซื้อสินค้าใหม่ของ "แบรนด์" ที่เขาชื่นชอบ เพราะมีความน่าเชื่อถือ และยังสามารถขยายวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Extend Products’ Life Cycle) เพราะสามารถเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ได้

5.จะสามารถจูงใจให้ผู้บริโภคไม่เปลี่ยนไปซื้อสินค้าอื่น เพราะเชื่อใจใน "แบรนด์" เดิม จากการศึกษาพบว่าต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าต้นทุนในการรักษาลูกค้าเก่าประมาณ 5 – 7 เท่า หากสามารถรักษาความภักดีของผู้บริโภคเพิ่มได้ 5% จะสามารถเพิ่มกำไรให้องค์กรได้ 95% ตลอดช่วงชีวิตของผู้บริโภค

6.มีความคุ้มครองทางกฎหมาย คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นอกจานนั้นยังอาจจะขายสิทธิในการใช้ "แบรนด์" ได้เช่น ขายแฟรนไชน์ (Franchising)

7.ความเสี่ยงต่ำ เพราะมีแหล่งที่มาของรายได้ในระยะยาว หาก "แบรนด์" ยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอยู่ได้ และเมื่อมีความจำเป็นต้องขึ้นราคา ยอดขายก็จะตกลงไม่มาก (Inelastic) แต่หากมีการส่งเสริมการขายด้วยการลดราคา ก็จะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก (Elastic)

8.สามารถมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีก เพราะผู้บริโภคมีความต้องการจะซื้อสินค้าอยู่แล้ว ผู้จัดจำหน่าย และผู้ค้าปลีกจึงยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

9. สามารถกระจายสินค้าได้กว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น เพราะเป็น "แบรนด์" ที่ ผู้บริโภคถามหาจะซื้อ
10.ใช้สร้างความสัมพันธ์ภายในและภายนอกองค์กร ระหว่างผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า ลูกค้า และชุมชน ตลอดจนการขยายไปยังต่างประเทศ


การสร้างแบรนด์ที่ดี ไม่เพียงแค่ทำให้คนรู้จัก แต่จะต้อง
ทำให้คนยินดี จ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์นั้นด้วย


หัวข้อการสัมมนา

>>> แนะนำตัว ความเป็นมาของวิทยากร จุดเริ่มต้นของธุรกิจ

>>> กลยุทธ์และแนวคิดในการสร้างแบรนด์ให้ทำเงิน

>>> วิธีการ และการประยุกต์ใช้สื่อออนไลน์ในการสร้างแบรนด์ให้ทำเงิน

>>> ตัวอย่างและกรณีศึกษาความสำเร็จจากแบรนด์ที่ทำเงิน

>>> แนะนำการต่อยอด และคอร์สอบรมในการสร้างแบรนด์ให้ทำเงิน

ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากงานสัมมนานี้

>>> ผู้ที่กำลังคิดจะเริ่มสร้างธุรกิจ หรือแบรนด์สินค้าของตนเอง

>>> เจ้าของธุรกิจ SME ที่เริ่มเปิดกิจการ

>>> เจ้าของธุรกิจที่ต้องการใช้สื่อออนไลน์ในการเพิ่มยอดขาย

ลงทะเบียนจองที่นั่งและ รับรหัสเข้าร่วมอบรมงานสัมมนา โดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำกัดเพียง 50 
ท่านต่อรอบเท่านั้น


ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้ที่ http://ebaysmethai.com/branding/

หรือ ลงทะเบียนได้ที่นี่


จองเข้าร่วมสัมมนา หรือ สอบถามเพิ่มเติม โทร 08-9104-3295 , 09-2470-7858
Line Id: Infinity_freedom
email: ebaysmethai@gmail.com

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลองสำรวจตัวเองกันดูนะครับว่า... คุณมีโอกาสเป็นเศรษฐีกับเขาบ้างหรือเปล่า?



"ความมั่งคั่ง" เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ (หรือเกือบทั้งหมด) อยากมี แต่แทบไม่น่าเชื่อว่า คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจหลักการสำคัญอันเป็นแก่นที่จะทำให้ตัวเองมั่งคั่งได้อย่างแท้จริง นั่นคือ 

"ความมั่งคั่ง" เป็นเรื่องของการ "สะสม" หรือ "สั่งสม" (ความมั่งคั่ง = การสะสม)

โดยคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า "ความมั่งคั่ง" คือ การหาเงินได้มาก และทำให้ใช้จ่ายได้อย่างไม่จำกัดจำเขี่ย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่นั่นเป็นเพียงปลายทาง ไม่ใช่จุดเริ่มต้น

ตัวอย่างเช่น ครอบครัว a มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน แต่ครอบครัว a มีค่าใช้จ่าย 45,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ครอบครัว b นั่นมีรายจ่ายเพียงแค่ 12,000 บาทต่อเดือน

อย่างนี้ในท้ายที่สุด ครอบครัว a จะคงเหลือความมั่งคั่งอยู่เท่ากับ 5,000 บาท ในขณะที่ครอบครัว b นั้น คงเหลืออยู่ที่ 8,000 บาท อย่างนี้ครอบครัว b ก็มีแนวโน้มที่จะมั่งคั่งมากกว่า เพราะสะสมเงินได้มากกว่า 

จะเห็นได้ว่า ตัวแปรสำคัญสู่ความมั่งคั่ง ก็คือ เงินคงเหลือ หรือเงินออม ซึ่งผูกโยงโดยตรงกับรายได้ และค่าใช้จ่าย ดังสมการ 

ความมั่งคั่ง (เงินคงเหลือ) = รายได้ - ค่าใช้จ่าย นั่นเอง 

ดังนั้น หากเราต้องการเพิ่มความมั่งคั่ง ก็สามารถทำได้ 2 ทาง นั่นคือ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย ซึ่งในมุมมองของผม การสร้างรายได้นั้นเป็นการดึงดูดเงินคนอื่นมาเป็นของเรา (โดยสุจริต) ซึ่งทำได้ยากกว่า การจัดการค่าใช้จ่าย (ย้ำ! ว่าไม่ใช่การลดค่าใช้จ่าย) ซึ่งเป็นการบริหารจัดการกับตัวเราเองโดยตรง 

โดยสรุป หากท่านต้องการที่จะมั่งคั่ง ท่านต้องบริหารจัดการรายจ่ายของตัวเองให้มีความเหมาะสม เพื่อที่จะขยับเพิ่ม "เงินออม" หรือความมั่งคั่งของตัว ให้มีการสะสมอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 

คำถาม คือ รายจ่ายอะไรบ้างที่ต้องพิจารณา

คำตอบ: ขึ้นกับแต่ละบุคคลจะพิจารณาว่า รายจ่ายใดจำเป็น รายจ่ายใด ไม่จำเป็น และสามารถปรับลดได้ แต่สำหรับผม ผมมองเห็นโอกาสสะสมความมั่งคั่งเพิ่มเติมจาก การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น อาทิ ค่าบุหรี่ ค่ากาแฟ ค่าหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารบางฉบับ หรือ อะไรก็ตามที่ท่านมักจับจ่ายโดยความเคยชิน และทำให้ตัวเองรู้สึเอาเองว่า ขาดไม่ได้ นั่นแหละ คือ รายจ่ายที่เข้าข่ายต้องพิจารณา

สมมติ รายจ่ายดังกล่าวเป็นกาแฟสดสักถ้วย ที่ท่านต้องซื้อดื่มเป็นประจำในวันทำงาน สมมติว่ากาแฟถ้วยนั้นมีราคา 25 บาท ถ้าท่านดื่มทุกวันจันทร์-ศุกร์ ค่าใช้จ่ายกาแฟสดในแต่ละสัปดาห์ของท่านก็จะเท่ากับ 125 บาท (25 บาท/วัน x 5 วัน) หรือคิดเป็นปี เท่ากับ 6,250 บาท (คิด 1 ปี เราทำงาน 50 สัปดาห์) หากดื่มกินต่อเนื่อง 30 ปี จะเป็นเงินทั้งสิ้น 187,500 บาท 

จะว่าไปก็ดูไม่เยอะมากเท่าไหร่ ทีนี้เราลองทำในสิ่งตรงกันข้ามบ้างดีกว่า คือ เอาเงิน 125 บาทต่อสัปดาห์ (สมมติว่าเลิกดื่มกาแฟสด ทานกาแฟออฟฟิตเอา ... ฮา) ไปลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี จะเกิดอะไรขึ้น 

>>> 1 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 7,150 บาท 

>>> 5 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 43,651 บาท 

>>> 10 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 113,953 บาท 

>>> 15 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 227,173 บาท 

>>> 30 ปี เงินค่ากาแฟของคุณ จะงอกเงยเป็น 1,176,132 บาท 

จะเห็นว่าจากค่าใช้จ่ายโดยความเคยชิน 187,500 ในระยะเวลา 30 ปี กลับกลายเป็นทรัพย์สินเงินล้านได้อย่างสบายๆ 

อย่างไรก็ดี ตัวอย่าง ข้างต้นมิได้นำเสนอขึ้น เพื่อให้ท่านใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียว แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ท่านเห็นโอกาสของตัวเองในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นได้อย่างง่ายๆ เพียงแค่พยายามทำความเข้าใจกับหลักการสำคัญในการสร้างความมั่งคั่ง นั่นคือ การบริหารการใช้จ่ายและการเก็บออมเท่านั้น 

ถึงตรงนี้ หลายท่านคงพอมีหวังจะเป็นเศรษฐีเงินล้านเหมือนกับคนอื่นกันแล้วใช่มั๊ยครับ คราวหน้าเรามาดูกันดีกว่าว่า เราจะเริ่มต้นออมกันอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร 

"การใช้จ่ายของคุณในวันนี้ คือ ตัวกำหนดอนาคตทางการเงินของคุณในอีก 20-30 ปีข้างหน้า"   

ขอขอบคุณความรู้ดีๆจาก http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?f=5&t=4330
อ้างอิงรูปภาพจาก www.dek-d.com